การใช้งาน ChatGPT ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้มาจากการใช้คำสั่งแบบสุ่ม ๆ แต่มาจากการสร้าง Prompt ที่มีโครงสร้างและรายละเอียดที่ชัดเจน การเขียน Prompt ที่ดีก็เหมือนกับการมอบหมายงานให้ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งต้องมีคำสั่งที่แม่นยำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและตรงใจ
บทความนี้จะนำเสนอ 6 ขั้นตอน ที่จะช่วยยกระดับการเขียน Prompt ของคุณให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและถูกต้องเกือบ 100%
1. กำหนด “บทบาท” (Role) ที่เจาะจง
เริ่มต้นด้วยการบอก ChatGPT ว่ามันควรสวมบทบาทเป็นใคร เพื่อให้คำตอบที่ได้มีมุมมอง น้ำเสียง และรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดกับการใช้งานนั้น ๆ
ตัวอย่าง:
- Prompt ทั่วไป “เขียนบทความเรื่องการลงทุน”
- Prompt ที่เจาะจงบทบาท “คุณคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน โปรดเขียนบทความเรื่อง ‘การลงทุนในกองทุนรวม’ สำหรับ นักลงทุนมือใหม่ ที่ยังไม่มีความรู้มากนัก”
การกำหนดบทบาทช่วยให้ ChatGPT เข้าใจว่าใครคือผู้รับสารและควรใช้ข้อมูลในระดับใด
2. ระบุ “เป้าหมาย” (Goal) และรูปแบบที่ต้องการ
บอกให้ชัดเจนว่าคุณต้องการให้ ChatGPT ทำอะไร และต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นบทความ, ตาราง, รายการ, หรือบทสรุป
ตัวอย่าง:
- Prompt ทั่วไป “ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้น”
- Prompt ที่ระบุเป้าหมาย “ให้เขียน สรุป ข้อมูลเกี่ยวกับ แนวโน้มการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาด Nasdaq ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยอธิบายด้วย กราฟจำลอง และ สรุปเป็นข้อ ๆ”
การระบุรูปแบบจะช่วยให้ได้คำตอบที่เป็นระเบียบและนำไปใช้งานต่อได้ง่าย
3. ให้ “บริบท” (Context) และข้อมูลพื้นฐาน
บริบทคือข้อมูลประกอบที่จะช่วยให้ ChatGPT เข้าใจสถานการณ์หรือประเด็นที่คุณกำลังพูดถึงได้อย่างลึกซึ้ง การให้ข้อมูลพื้นฐานจะช่วยจำกัดขอบเขตของคำตอบให้แคบลงและตรงประเด็นมากขึ้น
ตัวอย่าง:
- Prompt ทั่วไป “เขียนแผนการตลาด”
- Prompt ที่มีบริบท “ช่วยเขียนแผนการตลาดสำหรับ ร้านกาแฟเล็ก ๆ ใน ย่านมหาวิทยาลัย โดยเน้นการดึงดูด นักศึกษา ที่มี งบประมาณจำกัด”
บริบทจะช่วยให้คำตอบที่ได้มีความเฉพาะเจาะจงและนำไปใช้ได้จริง
4. ใส่ “ข้อจำกัด” (Constraints) และเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจง
หากคุณมีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ความยาว, ข้อมูลที่ไม่ต้องการ, หรือแหล่งข้อมูลที่ต้องการให้อ้างอิง ควรระบุให้ชัดเจน
ตัวอย่าง:
- Prompt ทั่วไป “ข้อดีของการอ่านหนังสือ”
- Prompt ที่มีข้อจำกัด “เขียน 3 ข้อดี ของการอ่านหนังสือสำหรับเด็กประถม โดย ห้ามใช้คำศัพท์ที่ซับซ้อน และให้แต่ละข้อ มีความยาวไม่เกิน 50 คำ”
การใส่ข้อจำกัดจะช่วยให้คำตอบที่ได้แม่นยำตามที่คุณต้องการ
5. ใช้ “ตัวอย่าง” (Example) เพื่อเป็นแนวทาง
หากคุณต้องการให้ ChatGPT สร้างคำตอบที่มีรูปแบบเฉพาะตัว การให้ตัวอย่างจะช่วยให้มันเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด
ตัวอย่าง:
- ต้องการคำอธิบายสินค้าแบบกระชับ
- Prompt “เขียนคำอธิบายสินค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์ ตัวอย่าง: รองเท้าวิ่ง A1 – ‘เบาสบาย, ทนทาน, เหมาะสำหรับนักวิ่งทุกระดับ’ รองเท้าลำลอง B2 – ‘ดีไซน์ทันสมัย, ใส่สบาย, แมทช์กับเสื้อผ้าได้ทุกสไตล์’ นาฬิกา G3 – ‘ดีไซน์คลาสสิก, กันน้ำได้, เหมาะสำหรับทุกโอกาส’ ช่วยเขียนคำอธิบายสำหรับ หูฟังไร้สาย S4”
การให้ตัวอย่างจะทำให้ ChatGPT สร้างผลลัพธ์ที่มีรูปแบบเหมือนกัน
6. ขอให้อ้างอิงแหล่งที่มา
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มความถูกต้องของข้อมูล การขอให้ ChatGPT อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการสร้างคำตอบจะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้อีกครั้ง
ตัวอย่าง:
- Prompt “สรุปผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อระบบนิเวศแนวปะการัง และ โปรดอ้างอิงแหล่งที่มาจากวารสารวิชาการที่น่าเชื่อถือ”
หาก ChatGPT ไม่สามารถให้แหล่งที่มาได้โดยตรง คุณสามารถใช้คำตอบที่ได้เป็น Keyword เพื่อไปค้นหาข้อมูลต้นฉบับด้วยตนเองอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลได้ดีที่สุด
การนำ 6 ขั้นตอนนี้ไปใช้จะช่วยให้คุณดึงศักยภาพของ ChatGPT มาใช้ได้อย่างเต็มที่ และเปลี่ยนจากการตั้งคำถามแบบทั่วไปเป็นการสื่อสารที่ชาญฉลาดและแม่นยำ ลองนำไปปรับใช้กับการทำงานและการเรียนรู้ของคุณดู แล้วคุณจะพบว่าการได้ข้อมูลที่ถูกต้องและตรงใจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป